“ยิ่งโต ยิ่งหาแฟนยาก” คุณคิดว่าจริงไหม?
ยิ่งกับยุคปัจจุบันที่ความรักแบบจริงจังไม่ได้เกิดขึ้นมาง่ายๆ ทั้งๆ ที่มีตัวช่วยอย่างโซเชียลมีเดียมากมาย เช่น แอปฯ สีแดง เฟซบุ๊ก ไอจี
แต่จนแล้วจนรอดหลายคนก็ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที
จากปัญหาความรักที่ชวนปวดหัวประมาณร้อยแปดอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความเข้ากัน ฐานะ ความชอบ ไลฟ์สไตล์
สุดท้ายบางคนเลยหันเข้าหา ‘เพื่อนร่วมงาน’ ที่เห็นกันอยู่ทุกวัน ผ่านทุกข์สุขร่วมกันนานๆ ก็เริ่มมีโมเมนต์นอกเหนือจากงาน
ผ่านไปสักพักก็ร่วมกันปลูกต้นรักจนความสัมพันธ์ ‘ผลิดอกออกผล’
งานวิจัยชี้ว่าเราจะเริ่มรู้สึกสนิท และสร้างมิตรภาพได้หลังใช้เวลาร่วมกัน 200 ชั่วโมง
และคนทำงานก็ใช้เวลาไปประมาณ 1,680 ชั่วโมงต่อปีในที่ทำงาน จึงไม่แปลกที่จะรู้สึกสนิทกันได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
อีกหนึ่งงานวิจัยโดย totaljobs ระบุว่า 22% จากกลุ่มตัวอย่าง 5,000 คน
พบรักกันในที่ทำงาน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากกว่าการหาคู่จากโลกออนไลน์ เพื่อนของเพื่อน หรือจากบาร์ด้วยซ้ำ
ซึ่งการมีความรักในที่ทำงานเป็นส่วนช่วยเพิ่มความสุขในการทำงาน เป็นแรงใจให้เราอยากออกไปทำงานในทุกๆ วัน
นอกจากนี้ยังมีโอกาสยืนยาวมากกว่าด้วยเป้าหมาย ความสนใจ วิธีการรับมือปัญหาต่างๆ ที่เห็นผ่านการทำงานร่วมกัน
ทำให้หลายคนตัดสินใจ ‘ปัดขวา’ ได้ไม่ยาก แต่จู่ๆ ความหวังก็โดนตัดฉับเมื่อบริษัทมีนโยบาย “ห้ามพนักงานคบกัน” !?
หลายคนอาจคิดว่ามีจริงเหรอ ทำไมบริษัทต้องเข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัว
แต่เรื่องนี้มีเหตุผลว่าทำไมบางบริษัทถึงต้องมีกฎห้าม และการคบกันในออฟฟิศ ก็มีข้อควรระวังมากกว่าที่คิด
1) ปกป้องพนักงานส่วนรวม
การแสดงออกด้านความรักสามารถทำได้หลายแบบ ทั้งคำพูด การกระทำ และอื่นๆ อีกมากมาย
แต่ปัญหาคือเราจะแน่ใจได้แค่ไหนว่าทั้งสองฝ่าย “โอเค” กันจริงๆ
บางคนอาจรู้สึกตรงกันข้าม ไม่ได้ชอบแต่ไม่กล้าปฏิเสธ เพราะกลัวจะเกิดปัญหาต่อการทำงานในอนาคต
เลยต้องยอมทำเหมือนว่าโอเค แม้ในใจจะไม่ได้คิดแบบนั้น
ดังนั้นคงไม่ต่างอะไรกับการถูกขืนใจอ้อมๆ เมื่อไม่ถูกพูดถึง ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว ด้วยเหตุผลว่า “ความรักคือเรื่องของสองคน”
บริษัทจึงต้องมีกฎไว้เป็น “ไม้กันหมา” ปกป้องส่วนรวม ตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ต้องทนฝืนอึดอัดใจ ลดโอกาสเกิดปัญหา
2) ถ้าความสัมพันธ์จบ อาจกระทบกับงาน
แน่นอนว่าไม่มีใครอยากมีความรักแล้วรอเลิก แต่กับการคบในที่ทำงาน เราจำเป็นต้องตระหนักและป้องกัน
‘กรณีเลวร้ายที่สุด’ ที่อาจเกิดขึ้นหลังยุติความสัมพันธ์ ซึ่งอาจกระทบต่องานได้
ถ้าอีกฝ่ายไปเริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับเพื่อนร่วมงานคนอื่น?
ถ้าจบไม่สวยแล้วมองหน้ากันไม่ได้ แต่ยังต้องร่วมงานกัน?
เมื่อความสัมพันธ์ที่เคยสวยงามกลับเป็นพิษ สุดท้ายอาจเป็นตัวเราเอง เขา หรือทั้งคู่ที่ต้องเก็บของยื่นใบลาออกเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
3) สร้างความอึดอัดใจให้คนรอบข้าง
ทุกคนคงรู้ว่า ‘เวลางาน’ ถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ซึ่งกินพื้นที่ไปถึง 1 ใน 3 ของเวลาในหนึ่งวัน
และเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้เวลานี้อยู่กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ด้วย
หากคู่รักไม่สามารถเป็น ‘มืออาชีพ’ ได้มากพอ ไม่สามารถแยกแยะเรื่องงาน หวงจนเกินเหตุ คอยจับตามองตลอดเวลา
ก็คงเป็นจุดที่น่ารำคาญใจ จนบางคนเลือกตัดปัญหาไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวซึ่งกระทบต่อการทำงานอย่างแน่นอน
4) ขาดพื้นที่ส่วนตัว
ในความสัมพันธ์เราควรมีเวลาและพื้นที่ที่เป็นของตัวเองบ้าง กลับมาบ้านก็ต้องการพักผ่อน พูดคุยระบายเรื่องราวที่เจอมา
กับคู่ที่ทำงานต่างบริษัท ก็สามารถปรึกษา ระบายได้เต็มที่ แต่สำหรับคู่ที่ทำงานที่เดียวกันก็อาจมีความ ‘ใกล้ชิด’ มากเกินไป
หากเรามีปัญหากับใครบางคน ซึ่งเป็นเพื่อนของคู่เราก็คงพูดไม่ได้
หรือเราอยากจะพักผ่อน ตัดขาดจากเรื่องงาน แต่อีกฝ่ายก็มาชวนคุยเรื่องงาน ก็คงไม่ไหว
ลองนึกภาพว่าต้องอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง จะนั่ง นอน กิน ทำงาน ไม่ว่าจะทำอะไรก็เจอตลอด จนไม่มีพื้นที่ของตัวเอง
แถมยังสุขภาพจิตเสียเพราะแยกงานจากชีวิตส่วนตัวไม่ได้
5) ผลประโยชน์ไม่ลงตัว
ในกรณีที่อยู่แผนกเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกันและได้ช่วยกันทำงานมาโดยตลอดแต่จู่ๆ อีกคนหนึ่งกลับได้โอกาสเลื่อนขั้น
อัปเงินเดือน หรืออื่นๆ ที่แซงหน้าเราไป ก็คงมีแอบเคืองในใจ ทั้งๆ ที่ทำเหมือนกัน แต่ทำไมอีกคนได้ประโยชน์ซึ่งอาจเป็นรอยร้าวเล็กๆ
ที่เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบความสัมพันธ์ได้เช่นกัน
ติดตามบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม:
3 เครื่องมือบริหารเวลา จัดการงานง่ายๆ ฉบับมือใหม่
INTROVERT เข้าสังคมอย่างไร โดยไม่สูญเสีย ‘พื้นที่ส่วนตัว’
แปลและเรียบเรียงจาก:
https://bit.ly/3U8J7DC
https://n.pr/3U1Rjp4
https://bit.ly/3BeULEm
#ReeracoenRecruitment
#ReeracoenThailand
#Psychology #Selfdevelopment #Inspiration #loveatwork