Smart Hiring: เปลี่ยนการสรรหาให้ฉลาดขึ้นด้วย Data + Tech + Human Touch หลายองค์กรยังคงสรรหาคนด้วยวิธีแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นการลงโฆษณา หวังให้ผู้สมัครส่งเรซูเม่มาเอง หรือใช้เอเจนซี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร ปัญหาคลาสสิกที่มักเจอกันคือ กว่าที่จะปิดตำแหน่งได้ก็กินเวลาไปหลายเดือน ทำให้ทีมขาดคนและเสียโอกาสทางธุรกิจ ต้นทุนต่อการจ้างหนึ่งคนก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต้องลงโฆษณาซ้ำ หรือเสียค่าบริการไปหลายรอบ แต่คนที่ได้มาก็ไม่ได้คุณภาพอย่างที่หวัง บางครั้งเรซูเม่เข้ามาเยอะ แต่ไม่ตรงกับ JD ต้องเสียเวลาคัดออกจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้น ประสบการณ์ของผู้สมัคร (Candidate Experience) มักถูกละเลย การสื่อสารที่ช้า การสัมภาษณ์ที่ไม่เป็นระบบ หรือแม้กระทั่งการที่ผู้สมัครไม่ได้รับ feedback หลังการสัมภาษณ์ สิ่งเหล่านี้สร้างความรู้สึกเชิงลบต่อองค์กร และทำให้ Employer Brand เสียหายโดยไม่รู้ตัว ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาแล้วที่ HR ต้องมองหาวิธีใหม่ในการสรรหา ไม่ใช่เพียงเพื่อหาคนให้ได้ แต่เพื่อหาคนที่ใช่ ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนี่คือที่มาของแนวคิด Smart Hiring Smart Hiring คืออะไร? Smart Hiring ไม่ได้หมายถึงการแทนที่งานของ HR ด้วย AI หรือระบบอัตโนมัติ แต่คือการผสาน ข้อมูล (Data) และ เทคโนโลยี (Technology) เข้ากับ ความเข้าใจของมนุษย์ (Human Touch) เพื่อสร้างกระบวนการสรรหาที่แม่นยำกว่า เร็วกว่า และใช้งบประมาณได้คุ้มค่ากว่าเดิม ลองจินตนาการว่า HR ไม่ได้ตัดสินใจด้วยความรู้สึกเพียงอย่างเดียว แต่มีข้อมูลรองรับ เช่น ข้อมูลเงินเดือนในตลาด (Market Benchmark) ที่ช่วยให้คุณกำหนดข้อเสนอที่แข่งขันได้ ข้อมูล Funnel การคัดเลือก ที่บอกได้ว่าผู้สมัครหลุดออกไปเยอะที่สุดในขั้นตอนไหน หรือแม้แต่การเก็บ Feedback จากผู้สมัครเพื่อเข้าใจว่า Candidate Experience ของคุณยังมีจุดบกพร่องตรงไหน การสรรหาที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลแบบนี้ ช่วยให้การตัดสินใจมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ลดโอกาสการจ้างผิดคน และทำให้คุณสามารถปรับกลยุทธ์การจ้างงานได้อย่างทันท่วงที เทคโนโลยีกับบทบาทใหม่ของ HR เทคโนโลยีคือหัวใจอีกดวงของ Smart Hiring ลองนึกถึงกระบวนการคัดกรองผู้สมัครที่เมื่อก่อนต้องใช้เวลานั่งเปิดเรซูเม่ทีละไฟล์ แต่วันนี้ระบบ ATS (Applicant Tracking System) สามารถช่วยจัดการเรซูเม่ทั้งหมดไว้ในที่เดียว ทำให้ HR สามารถคัดกรองอัตโนมัติและโฟกัสกับผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเข้ากับตำแหน่งจริง ๆ ได้เร็วขึ้น หรือแทนที่จะรอเรซูเม่มาเอง การใช้ Talent Marketplace เช่น ProFinder ทำให้คุณสามารถเข้าถึงทั้งผู้สมัครที่กำลังหางานและผู้สมัครที่แม้จะยังไม่กดสมัคร แต่ก็เปิดโอกาสหางานใหม่อยู่ เท่ากับว่าคุณมี Candidate Pool ที่กว้างและลึกกว่าการโพสต์งานธรรมดาหลายเท่า นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีเสริม เช่น AI Resume Screening ที่ช่วยจัดอันดับผู้สมัครตามทักษะและความเหมาะสมกับตำแหน่ง หรือแพลตฟอร์มสัมภาษณ์ออนไลน์ที่ช่วยลดเวลาเดินทางและทำให้การสัมภาษณ์ยืดหยุ่นขึ้น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาแทน HR แต่ช่วยลดงานที่ซ้ำซ้อน ทำให้ HR มีเวลาไปโฟกัสกับการสร้างกลยุทธ์คนและการดูแลผู้สมัครมากขึ้น Human Touch: หัวใจของ Smart Hiring อย่างไรก็ตาม Smart Hiring ไม่ได้หมายความว่าเราจะปล่อยให้ระบบทำงานแทนทุกอย่าง เพราะท้ายที่สุด คนยังคงเป็นศูนย์กลาง การสัมภาษณ์ที่ดีไม่ได้มีแค่คำถามตามเช็คลิสต์ แต่ HR ที่เก่งจะสามารถสื่อสารให้ผู้สมัครเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรและโอกาสในการเติบโตได้ด้วย เช่นเดียวกับขั้นตอนการสมัครที่ควรออกแบบให้เรียบง่ายและเป็นมิตรกับมือถือ ผู้สมัครควรได้รับการสื่อสารอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว เช่น การแจ้งผลเบื้องต้นภายใน 7 วัน หรือแม้แต่การให้ Feedback แม้ว่าผู้สมัครจะไม่ได้รับเลือกก็ตาม สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้สร้างความประทับใจที่ทำให้ผู้สมัครจดจำองค์กรในแง่บวก ตัวชี้วัดความสำเร็จของ Smart Hiring ถ้าการสรรหาของคุณ smart ขึ้นจริง คุณจะเห็นตัวเลขเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เช่น เวลาที่ใช้ในการปิดตำแหน่ง (Time-to-Fill) สั้นลง คุณภาพของการจ้างงาน (Quality of Hire) ดีขึ้นเพราะ Hiring Manager พึงพอใจมากขึ้น งบประมาณการสรรหาถูกควบคุมได้ดีขึ้น และคะแนนความพึงพอใจของผู้สมัครสูงขึ้นจากการเก็บ Feedback Smart Hiring ไม่ใช่การวิ่งตามเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว และไม่ใช่การใช้สัญชาตญาณ ของ HR อย่างเดียวเช่นกัน แต่คือการนำ ข้อมูล เทคโนโลยี และ Human Touch มารวมกัน เพื่อทำให้การสรรหากลายเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจ ไม่ใช่แค่ขั้นตอนเชิงปฏิบัติ องค์กรที่สามารถทำ Smart Hiring ได้ จะได้มากกว่าการหาคนไวขึ้น แต่คือการได้คนที่ใช่ที่อยู่กับองค์กรได้ยาวนานกว่า