การแสดงออกถึงความรับผิดชอบ คือเครื่องมือสำคัญที่บ่งบอกถึงภาวะผู้นำ อย่างสำนวนต่างประเทศที่กล่าวว่า
“The Buck Stops Here” ความรับผิดชอบทั้งหมดอยู่ที่นี่ และ “Leadership is taking responsibility while others are making excuses” ผู้นำจะแสดงความรับผิดชอบ ในขณะที่คนอื่นๆ มองหาข้อแก้ตัว
แม้การแสดงความรับผิดชอบจะเป็นสิ่งที่ดี แต่บ่อยครั้งที่มันสามารถย้อนกลับมาทำร้ายใครหลายคน เนื่องจาก “รับผิดชอบมากเกินไป” รับทุกอย่างจากทุกคน
ไม่ว่าจะภาระงาน อารมณ์ หรือแม้กระทั่งรับผิดแทนคนอื่น ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อตัวเองแต่ยังส่งต่อมาถึงทีมด้วย
เมื่อผู้นำเริ่มที่จะ “แบกไม่ไหว” จนเริ่มที่จะ Burnout แน่นอนว่าสายน้ำก็จะไหลต่อมายังคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะลูกทีม เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่ครอบครัว
เช็คง่ายๆ อย่าปล่อยให้ตัวเองกลายเป็น “เดอะแบก” ด้วยอาการเหล่านี้ อาทิ
[] ให้ความสำคัญกับความต้องการของคนอื่นก่อนตัวเอง
[] ต้องคอยย้ำคนอื่นให้ทำงาน และรู้สึกเบื่อหน่าย
[] มักจะตอบตกลง แม้ในใจจะไม่อยากรับปาก
[] เมื่อเกิดข้อผิดพลาดจะรู้สึกว่าเป็นความผิดของตัวเอง
ถึงเวลาต้องเรียนรู้วิธีบริหารจัดการตัวเอง อย่าปล่อยให้ความเป็นเดอะแบกมาทำให้เรา Burnout จนพังทั้งกายและใจ รวมถึงทีม
ด้วย 5 วิธีจากบทความเรื่องAre You Too Responsible? บนเว็บไซต์ HRB.org (Harvard Business Review) ดังนี้
1) ปรับแนวคิด เปลี่ยนมุมมอง
หลายคนอาจภูมิใจที่ได้ทำงานอย่างเต็มที่ ได้แสดงออกถึงความรับผิดชอบ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่อีกมุมหนึ่งลองถามตัวเองว่าตัวเราจำเป็นต้องรับผิดชอบทั้งหมดจริงหรือ งานที่ทำอยู่สามารถช่วยพัฒนาตัวเราได้มากน้อยขนาดไหน ถ้าเราไม่ทำ คนอื่นจะไม่สามารถทำได้เลยหรือเปล่า?
เพราะการที่เรารับงานมาจนล้นมือ โดยที่ทำให้อีกฝ่ายได้ทำงานสบายๆ มากขึ้น สามารถส่งผลเสียให้งานที่ทำนั้นไม่ได้ประสิทธิภาพเพราะไม่มีเวลาในการดูแลอย่างเต็มที่
และในกรณีที่เราเป็นผู้นำก็ยังทำให้ลูกทีมขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเองด้วย
2) ฝึกปฏิเสธอย่างมืออาชีพ และคืนความรับผิดชอบให้เจ้าของงาน
ไม่ว่าคุณจะถูกบังคับ หรือเต็มใจทำเอง แต่บางทีถ้ามันล้นมือเกินไปก็ถึงเวลาส่งคืนให้เจ้าของ
เริ่มจากพยายามบอกเหตุผลที่ทำให้เราไม่สามารถให้ความช่วยเหลือพวกเขาได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เช่น ติดงานสำคัญ
กำลังดำเนินการวางแผนงานส่วนอื่นๆ ซึ่งมีเขาเป็นผู้รับผิดชอบ และเสนอความช่วยเหลือในส่วนเล็กๆ ก็จะทำให้คนรอบข้างรับรู้ว่าจะขอให้เราช่วยตลอดเวลาไม่ได้
3) รู้จัก “ความรับผิดชอบ” ที่แท้จริงของตัวเอง
เมื่อเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองแบกโลกไว้ทั้งใบ ถึงเวลาหยิบกระดาษออกมาสักหนึ่งแผ่น วาดแผนภูมิว่ามีงานแบบไหน
ต้องดำเนินการทำกับใครหรือฝ่ายใดบ้าง จากนั้นหาสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของตัวเองในแต่ละงาน
จะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่าควรโฟกัสกับอะไร และสิ่งไหนที่คนอื่นสามารถจัดการได้
4) ช่วยมา ช่วยกลับ ไม่โกง!
หากคุณเป็นคนที่ชอบแบก ไม่แปลกที่จะชอบช่วยเหลือ อยากสนุกกับงานและทำให้คนอื่นมีความสุข แต่กลับกันเมื่อคนอื่นมาเสนอช่วยงานกลับไม่กล้าให้ช่วย
เพราะกลัวเขาจะลำบาก ทำไมไม่คิดซะว่าการที่มีใครสักคนอยากช่วยงานเป็นเพราะพวกเขาอยากสนุก ได้มีส่วนร่วม ได้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมเหมือนที่ตัวเองเป็นบ้าง
การที่ผู้นำเปิดโอกาสให้ลูกทีมได้หยิบยื่นความช่วยเหลือ หรือเสนอความคิดเห็น ได้มีส่วนร่วมกับงานต่างๆ คือการสร้างแรงบันดาลใจ และช่วยสานความสัมพันธ์ภายในทีมอีกด้วย
5) เอาใจใส่ แต่ไม่แบกรับ
การเป็นผู้นำ ไม่เพียงแต่ทำเฉพาะงาน แต่ยังต้องบริหารจัดการคน และรับฟังให้คำปรึกษาปัญหาต่างๆ ทั้งด้านการงาน หรือรวมถึงเรื่องส่วนตัวด้วย
ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้ผู้นำที่แบกรับทุกอย่างไว้มากเกินไปมักจะพลาด การที่เราเอาความรู้สึกลงไปแบกรับ หาทางช่วยจนสุดความสามารถ
ย่อมพาให้จิตใจเราได้รับผลกระทบไปด้วย เราสามารถรับฟัง ให้คำปรึกษาได้ แต่อย่าถลำลึกไปปฏิบัติเหมือนกับว่าปัญหาต่างๆ เป็นเหมือนปัญหาของเราเอง
ใช้เหตุและผลถามหาความเป็นมาจากมุมนอก อย่าเข้าไปคลุกวงในกับปัญหาเหล่านั้น
6) ใจดีกับตัวเองหน่อย
การปรับนิสัย หรือเปลี่ยนพฤติกรรมมักเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผู้เริ่มต้นและต้องใช้เวลาเสมอ
แน่นอนว่าคงไม่ดำเนินไปอย่างราบรื่น เราจะต้องเผชิญหน้ากับความลำบากใจ อึดอัด และอาจเจอการตอบสนองเชิงลบจากคนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือบ้าง
ก็จงอดทนและผ่านมันไปให้ได้ เพื่อสร้างสมดุลที่ดี ไม่ต้องแบกทุกอย่างไว้กับตัว และช่วยให้คนอื่นได้พัฒนาตัวเองไปพร้อมๆ กัน
บทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม:
พลังแห่ง DEADLINE มีอยู่จริง หรือเราแค่ติดนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง
กับดักของ PEOPLE PLEASER ในที่ทำงาน ยอมไปเรื่อย รับปากไปงั้น แต่งานไม่เดิน!
แปลและเรียบเรียงจาก:
#ReeracoenThailand
#psychology #overresponsibility