ในการทำงานร่วมกับผู้อื่นเราย่อมมีความสัมพันธ์ มีมิตรภาพที่ดีเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ถือเป็นเรื่องปกติของความเป็น “มนุษย์” ณ ชั่วขณะหนึ่งเราอาจเกาะกันเหนียวแน่น
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราจะพบว่าโอกาส ชะตา และเป้าหมาย
คือสิ่งที่นำพาให้เส้นทางชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน
ตอนเด็กเรามักจะเคยสัญญากับใครบางคนไว้ “เราจะเป็นเพื่อนรัก ไม่ทิ้งกันตลอดไป”
แต่เอาเข้าจริงปัจจุบันก็แทบไม่ได้ติดต่อกันด้วยซ้ำ
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราห่างกันและอีกส่วนคือสิ่งต่างๆ มันเปลี่ยนไปแล้ว
บางคนได้ดิบได้ดี เป็นใหญ่เป็นโต บางคนประสบความสำเร็จรวยล้นฟ้าแถมเปลี่ยนไปราวกับคนละคน
ซึ่งรวมถึงคนที่เคย “ดี” ในวันนั้นกลับกลายเป็นคนที่ดูจะเฮงซ*ยในวันนี้
หนังสือ What Makes You You? โดย Toffy Bradshaw
ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำไมเมื่อคนเราได้ดีถึงมีนิสัยเปลี่ยนไปโดยแบ่งได้เป็น 3 สาเหตุดังนี้
1) อำนาจของเงิน
บางครั้งก็มาในรูปแบบตำแหน่งหน้าที่การงาน
เคยเจอไหมว่าเพื่อนที่สนิทหรือทำงานร่วมกันมีท่าทีที่เปลี่ยนไป ดูไม่ใช่คนเดิมหลังจากได้เลื่อนขั้น
ซึ่งเหตุผลเป็นเพราะ “เงิน” หรือความสำเร็จส่งผลต่อ Empathy (ความเห็นอกเห็นใจ) ในผู้อื่น
ในการทดลองได้นำกลุ่มตัวอย่าง 300 คนมาแบ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้เยอะ กับรายได้น้อย
เพื่ออ่าน “ความรู้สึก” ที่แสดงออกบนใบหน้า ซึ่งหากมี Empathy สูงก็จะสามารถทำได้ดี
และพบว่ากลุ่มคนที่มีรายได้น้อยสามารถอ่านความรู้สึกบนใบหน้าได้ดีกว่า
นอกจากนี้ยังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า “เงิน” มีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมา
ผ่านการทดลองแบ่งกลุ่มเล่น “เกมเศรษฐี” โดยแยกฝ่ายที่ได้เปรียบและเสียเปรียบ
ฝั่งที่ได้เปรียบ จะมีเงินเริ่มเริ่มต้นที่ 2,000$ และเมื่อเดินครบ 1 รอบจะได้อีก 200$
ส่วนฝั่งที่เสียเปรียบนั้นได้เงินแค่ครึ่งเดียวหรือ 1,000$ และเมื่อเดินครบก็ได้เงินอีก 100$
แน่นอนว่ากลุ่มที่มีเงินตั้งต้นมากกว่าก็ชนะไป แต่สิ่งที่สรุปได้จากการทดลองครั้งนี้ก็คือ
กลุ่มคนที่ได้เปรียบมีการแสดงพฤติกรรมในเชิง “ยิ้มเยาะ เย็นชา” ตลอดการเล่นเกม
2) ทัศนคติ “ใครๆ ก็ทำกันแบบนี้”
เชื่อว่าเป็นประโยคที่หลายคนได้ยินแล้วจะร้อง “ห๊ะ” แล้วคิดสวนกลับไปว่า แล้วแบบนี้มันดีจริงๆ เหรอ?
แนวคิดดังกล่าวถูกระบุไว้ในหนังสือโดยเรียกว่า The False Consensus Effect
หรือการที่เรามีความเชื่อว่า “คนส่วนใหญ่” จะต้องคิดแบบเรา
ซึ่งสะท้อนถึงการ “เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง” ละเลยคนเห็นต่างเพราะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คิดแบบนี้
และมักจะเกิดขึ้นกับ “ผู้นำ” ที่ไม่สนใจความคิดของคนรอบข้างเพราะมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป
3) อีโก้ที่เกิดจากโรคไม่ยอมรับผิด
เราทุกคนน่าจะเคยเจอกับคนประเภท “ฉันไม่ผิด” และมักจะหาข้ออ้างมาโทษสิ่งรอบตัวได้เสมอ
ซึ่งเราอาจมองว่าแค่รับผิดแล้วขอโทษ คงไม่ยากเกินไป แต่ในทางปฏิบัติแล้วมันอาจไม่ง่ายแบบนั้น
เมื่อข้อมูลพบว่า “การยอมรับผิด” คือเรื่องยากสำหรับหลายคน
จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 4,727 คนมาทำการทดสอบเรื่อง Self-Esteem Test
เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มคนที่ “ยอมรับผิด” เมื่อทำพลาดกับกลุ่มที่ “ไม่ยอมรับผิด”
และได้ค้นพบสาเหตุหลักที่ทำให้คนเราเกลียดกลัวการยอมรับผิด
😞เกลียดความรู้สึกอ่อนแอ ไม่ชอบการถูกตำหนิ
😞กลัวไม่ได้รับความเคารพ เนื่องจากถูกมองว่าห่วยแตก
😞กลัวการถูกปฏิเสธ จึงต้องการ “การยอมรับ” จากผู้อื่นเสมอ
😞ความเป็น Perfectionist ต้องประสบความสำเร็จเท่านั้น
ซึ่งสุดท้ายแล้วจะลงเอยด้วยการ “ตอบโต้” อย่างรุนแรงเมื่อถูกบอกว่าเขาทำผิด
และมองว่าคนอื่นอิจฉาที่ตัวเขาเองนั้นมีดีมากกว่า ไปจนถึงแก้แค้นด้วยการนำความผิดของอีกฝ่ายมาโจมตีเช่นกัน
ชื่อเสียง เงินทอง ความสำเร็จอาจทำให้ดูมีอำนาจ เมื่อมีอำนาจ จึงคิดพึ่งพาคนอื่นน้อยลง
และไม่ได้แปลว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้ใครหลายคนเป็นคนไม่ดี แต่มันทำให้เห็น “ตัวตน”ของเขาชัดเจนขึ้นเท่านั้นเอง
#ReeracoenRecruitment
#ReeracoenThailand
#Whatmakesyouyou?
#Psychology