รอมาตั้งนานในที่สุดก็มี HR โทรมานัดเข้าสัมภาษณ์ แต่จะให้เราเข้าไปเป็นฝ่าย ‘ตอบ’ อย่างเดียวคงไม่ใช่ เพราะหัวใจสำคัญของการสัมภาษณ์งานก็คือการ ‘แลกเปลี่ยนข้อมูล’ ระหว่างสองฝ่ายเพื่อทำความรู้จักกันทั้งบริษัทนายจ้างและฝั่งผู้สมัคร
ดังนั้นนอกจากจะเข้าไปให้ HR ได้รู้จักเรามากขึ้นแล้ว อีกด้านหนึ่งเราก็ควรได้ทำความรู้จักกับองค์กรด้วยเช่นกัน และการเตรียม ‘คำถามที่ดี’ เข้าห้องสัมภาษณ์ไปด้วยก็จะทำให้เราได้ข้อมูลสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก-ใหญ่ หรืออะไรที่ยังค้างคาใจอยู่ รวมถึงเป็นการ ‘ต่อเวลาพิเศษ’ ให้ได้พรีเซนต์ตัวเองอีกด้วย
ลักษณะของคำถามที่นำมาใช้ในการสัมภาษณ์ก็เหมือนกับสิทธิขับรถสำรวจโลกใบใหม่ ที่หากเข้าไปสำรวจพื้นที่สำคัญถูกจุดก็จะยิ่งช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้นว่าเหมาะกับเราไหม หากเข้าไปอยู่ด้วยแล้วจะรอดหรือเปล่า รวมถึงคาดเดาได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ การที่บริษัทนายจ้างเปิดโอกาสให้ถามอาจเป็นการลองเชิงว่าเราสนใจในบริษัทเขามากแค่ไหน ซึ่งถ้าเราโชว์ยิงคำถามที่น่าสนใจได้ดีก็จะยิ่งทำแต้มเหนือกว่าคู่แข่งด้วยเช่นกัน
Reeracoen Thailand มี 9 คำถามอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ลองนำไปใช้ดูครับ
1) ลักษณะของทีมที่จะไปร่วมงานเป็นอย่างไร
ในการทำงานเราไม่สามารถเป็นฮีโร่ฉายเดี่ยวที่จะสำเร็จงานโปรเจกต์ใหญ่ๆ ได้ด้วยตัวคนเดียว
ดังนั้นจึงต้องรู้ว่าคนที่เราจะต้องใกล้ชิดนั้นเป็นอย่างไรมีวิธีการทำงานหรือมีวัฒนธรรมเป็นแบบไหน
เพื่อปรับตัวเบื้องต้นก่อนจะเข้าไปร่วมงานจริง นอกจากนี้การแสดงออกว่าให้ความสำคัญต่อ ‘ทีม’
สื่อถึงการเป็น Team player ที่จะทำงานกับคนอื่นได้ดี รวมถึงภาวะความเป็นผู้นำ
ที่รู้จักการบริหารคนหมู่มากให้ทุกส่วนทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
2) เป้าหมายสำคัญที่วางไว้ในปีนี้คืออะไร
ในฐานะพนักงานใหม่ เรามีโอกาสที่จะย้ายงานไปเจอกับความเปลี่ยนแปลงแบบพอดิบพอดี
เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่การเปิดรับสมัครงานนี้อาจเกิดขึ้นบน ‘แผนงานใหม่’ ขององค์กร
ดังนั้นการรู้ถึงเป้าหมายอันชัดเจนภายในปีนั้นๆ จะทำให้เรามองสถานการณ์
ตลอดจนเป้าหมายและอุปสรรคที่ตำแหน่งงานนี้อาจจะต้องรับมือได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
3) เห็นภาพองค์กรนี้เป็นอย่างไรในอีก 3 ปี
ปกติเรามักจะเป็นฝ่ายถูกถามด้วยคำถามดังกล่าว ซึ่งสำหรับบางคนเป็นอะไรที่ตอบยากมากๆ
โดยเฉพาะปัจจุบันที่สังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้อนาคตเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้
แต่สำหรับองค์กร ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องตอบได้เพราะเป็นหลักประกัน ‘ความมั่นคง’ ของพนักงาน
ดังนั้นองค์กรที่ดีจึงต้องเตรียมแผนงานไว้รองรับ
นอกจากนี้ การสอบถามถึงอนาคตที่มากกว่าแค่ 1-2 ปี ยังเป็นการสื่อสารว่าเรามองหาที่ทำงาน ‘ระยะยาว’
สอดคล้องกับเป้าหมายของนายจ้างที่ไม่อยากให้มีการเปลี่ยนคนทำงานบ่อยๆ ด้วย
4) มีความคาดหวังต่อเราภายใน 90 วันแรกยังไงบ้าง
ส่วนใหญ่ 90 วันแรกคือช่วงเวลา ‘ระยะทดลองงาน (probation)’
ซึ่งถ้าทำผลได้งานน่าประทับใจก็สามารถไปต่อได้ยาวๆ
แต่ในทางตรงกันข้าม หากทำได้ไม่ตรงกับความคาดหวัง ก็เก็บกระเป๋าแล้วเริ่มสมัครงานใหม่ได้ทันที
ดังนั้นการรู้ถึงความคาดหวังในช่วง 90 วันนี้จึงสำคัญต่อจุดเริ่มต้นของพนักงานใหม่ทุกคน
และทางที่ดีคือขอความชัดเจนจากองค์กรตรงๆ เพื่อวางแผนงานให้เหมาะกับเป้าหมายมากที่สุด
5) สิ่งแรกที่อยากให้สำเร็จภายใน 6 เดือนคืออะไร
หลังจากผ่านช่วงทดลองงาน 90 วันแรก อีกหนึ่งจุดปักธงก็คือระยะเวลา 6 เดือนต่อมา
ซึ่งถือว่าได้ ‘ทำงานจริง’ มาเป็นที่เรียบร้อย และเมื่อคุ้นชินกับงานตามหน้าที่ก็ควรเริ่มมีผลงานอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นมาด้วย
เช่นเดียวกับความคาดหวังในช่วง 90 วันแรก สิ่งองค์กรคาดหวังไว้นั่นแหละคือเป้าหมายอันดับหนึ่ง
หรือถ้างานที่ได้รับเริ่มเข้ามืออย่างเต็มที่แล้วก็อาจเสนอตัวเลือกอื่นๆ จากมุมมองใหม่ๆ ได้เช่นกัน
6) มีวิธีชี้วัดความสำเร็จจากอะไร
บริษัทแต่ละที่ย่อมมีมุมมองและวิธีการวัดผลที่ต่างกัน บางบริษัทอาจใช้ ‘ตัวเลข’ ชี้วัดผลงาน
บางแห่งอาจพิจารณาจาก ‘อิมแพค’ ต่อองค์กร ซึ่งเราจำเป็นต้องรู้ข้อมูลเหล่านี้ก่อนเข้าไปเริ่มงาน
เพื่อวางแผนทำผลงานให้สอดคล้องกับแนวทางนั้นๆ รวมถึงช่วยให้ปรับตัวเข้ากับระบบได้ง่ายขึ้นด้วย
7) มีวิธีการพัฒนาผู้นำองค์กรอย่างไร
นอกเหนือจากเงินและผลตอบแทนอื่นๆ สิ่งที่เราจะได้จากการทำงานคือ ‘การเติบโต’
ดังนั้นเราต้องพยายามเลี่ยง dead-end job ซึ่งดูออกได้จากแนวทางการพัฒนาบุคคลในบริษัทนั้นๆ
ว่าให้ความสำคัญหรือมีพื้นที่ให้ได้ก้าวหน้าหรือไม่
ถือเป็นหน้าที่ที่องค์กรต้องสร้างคนให้มีคุณภาพ ให้สามารถขับเคลื่อนองค์กรต่อไปได้ในอนาคต
เราจึงควรถามถึง ‘อัตราการโปรโมตพนักงาน’ วิธีการสืบทอดตำแหน่ง (succession planning)
รวมถึงโปรแกรมเทรนนิ่งพนักงาน เพื่อดูว่าเราจะได้เติบโตแบบไหน อย่างไร เมื่อไร
8) บริษัทช่วยบริหาร work-life balance ให้พนักงานยังไง
แน่นอนว่าไม่มีบริษัทไหนไม่ทำงานหนัก เพียงแต่องค์กรที่น่าอยู่จะรู้วิธีบริหารจัดการภาระงานที่ดี
นอกจากถามถึง ‘วิธีการ’ ที่เป็นคอนเซปต์ของการบริหาร
อาจขอตัวอย่างสถานการณ์ที่ได้นำวิธีการเหล่านั้นมาปรับใช้
ให้รู้ว่านอกจากจะมีแนวทางแล้ว ยังสามารถใช้ได้จริงด้วย
เช่น บริษัทเลือกใช้นโยบาย hybrid working เพื่อให้พนักงานมีเวลาได้จัดการตัวเองมากขึ้น
9) ตำแหน่งงานนี้เปิดรับสมัครมานานหรือยัง
ถ้ายัง มีอะไรที่อยากให้สานต่อหรือเปลี่ยนแปลงจากคนก่อนไหม
เพราะข้อมูลที่แชร์จากการทำงานจริงที่ผ่านมาเช่นนี้มีประโยชน์โดยตรงต่อการวางแผนก่อนเริ่มงานจริง
จะได้กำหนดเป้าหมายที่สอดคล้องกับความคาดหวังให้ดีที่สุด
แต่ถ้าผ่านมาสักพักแล้ว อะไรคือเหตุผลที่ยังไม่ได้คนใหม่
ข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เราได้รู้ถึงสาเหตุเบื้องหลังที่ทำไมงานนี้เปิดรับมานานก็ยังไม่ได้คนใหม่สักที
เช่น เพราะเนื้องานมีความท้าทายที่ค่อนข้างยากหรือเหตุผลอื่นๆ
ซึ่งแน่นอนว่าจะมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจของเราต่อจากนี้
เพื่อคำตอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนถึงวันนัดหมายสัมภาษณ์งานควรมีการศึกษาข้อมูลองค์กรอย่างละเอียด
แล้วหาว่าจุดไหนบ้างที่อยากได้ข้อมูลมากกว่านี้ แต่ละคำถามจะได้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
ส่วนข้อควรระวังคือไม่ควรถามนายจ้างซ้ำอีกครั้งในกรณีที่เรื่องนั้นๆ มีข้อมูลชัดเจนหรือเคยแจ้งไว้แล้ว
เพราะจะเป็นการบ่งบอกถึงความไม่ใส่ใจได้เช่นกัน
ฝากโปรไฟล์ไว้กับเรา Reeracoen Recruitment
อ่านบทความเพิ่มเติม:
สถิติการเลือกใช้ ‘คำพูด’ ที่แยกระหว่างผู้สมัครที่ดี และคนที่ไม่ผ่านการสัมภาษณ์
Bonus and Bounce! คิดย้ายงานหลังได้โบนัส เป็นไอเดียที่ดีหรือมีอะไรต้องระวังบ้าง?
แปลและเรียบเรียงจาก: https://bit.ly/3ScrG53
#ReeracoenRecruitment #ReeracoenThailand #Recruitment