รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ Cover Letter
ที่คนมักไม่ค่อยเห็นถึงความสำคัญ
หากพูดถึงสิ่งที่จำเป็นต่อการสมัครงานในแต่ละครั้ง อันดับแรกที่คนทำงานอาจนึกถึงคงเป็น “เรซูเม่” หรือถ้าละเอียดมากขึ้นอีกระดับก็คงเป็น “Curriculum Vitae” รวมถึง Portfolio ที่ขาดไม่ได้สำหรับอาชีพที่เน้นการโชว์ผลงาน เชื่อว่าน้อยคนที่จะนึกถึง Cover Letter ซึ่งถ้าถามตอนนี้ไม่ต้องเด็กจบใหม่หรือ First Jobber คนที่ผ่านงานมาหลายที่ก็อาจตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคืออะไร ดังนั้น Reeracoen Thailand จะอธิบายให้ฟังแบบครบๆ ทั้งความสำคัญและวิธีการเขียน อ่านบทความนี้จบแล้วก็สามารถนำไปเป็นแนวทางทำต่อได้เลย
Cover Letter คืออะไร
Cover Letter คือเนื้อหาที่ใช้อธิบายแทนตัวเองทั้งด้านความสามารถ ประสบการณ์ และเป้าหมายการทำงานทำให้นายจ้างหรือฝ่าย HR ทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเราได้ง่ายกว่าการอ่านจากเรซูเม่เพียงอย่างเดียว และนอกเหนือจากที่กล่าวมา Cover Letter ยังสามารถทำหน้าที่แสดง “ทักษะการสื่อสาร” ซึ่งเป็นหนึ่งใน Soft Skill ที่หลายบริษัทมองว่าสำคัญและถูกมองหามากที่สุดจากคนทำงาน โดยผลสำรวจจาก Arcadia University พบว่า
- 72% ของนายจ้างคาดหวังจะได้รับ Cover Letter ในการสมัครงาน
- 77% เลือกให้ความสำคัญกับผู้สมัครที่มี Cover Letter มากกว่าคนที่ไม่มี
- 88% ของ Recruiter ระบุว่ากรณีที่เรซูเม่สู้คนอื่นไม่ได้ Cover Letter จะเป็นตัวช่วยให้เรามีโอกาสมากขึ้น
ดังนั้นความสำคัญของเรซูเม่จึงเป็นการทำให้นายจ้างเข้าใจเกี่ยวกับตัวเราได้ง่ายขึ้น และสามารถใช้แสดงทักษะในฐานะ “ไพ่ลับ” ที่มีไว้เพิ่มโอกาสให้ตัวเองเหนือกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ
การแนบ Cover Letter ทุกครั้งที่สมัครงานส่งผลอย่างไร
นอกจากการเป็นการแนะนำตัวให้อีกฝ่ายรู้จักเรามากขึ้นและตอบรับกับความคาดหวังจากฝั่งนายจ้างตามผลสำรวจข้างต้น อีกเหตุผลคือการช่วยตอบคำถามที่นายจ้างอาจสงสัย โดยเฉพาะคนที่มีช่วง “ว่างงาน” หรือต้องการที่จะ “เปลี่ยนสายงาน” ไปทำอย่างอื่น เพราะหากเราตัดสินใจเปลี่ยนสายงาน นายจ้างก็ย่อมต้องถามถึงสาเหตุ การมี Cover Letter จึงช่วยให้เราได้ใช้เวลาเรียบเรียงเหตุผลเพื่อ “อธิบายเหตุผล” ให้อีกฝ่ายเข้าใจตั้งแต่ต้น
ควรเขียนอะไรลงบน Cover Letter บ้าง
เราควรใช้ Cover Letter เพื่อ “เติมเต็ม” เนื้อหาในส่วนที่เรซูเม่อธิบายได้ไม่หมดและตามหลักการสมัครงานที่เรามักจะรู้กันดีว่าเอกสารอะไรก็แล้วแต่ไม่ควร “ยาวเกินไป” เพราะจะทำให้อีกฝ่ายปัดตกได้ทันที ดังนั้นโดยทั่วไปจึงนิยมที่ความยาวไม่เกิน “2 หน้ากระดาษ” (ถ้าให้ดีก็ควรจบได้ตั้งแต่หน้าเดียว) เนื่องจากมีผลสำรวจพบว่านายจ้างส่วนใหญ่มักเลือกไม่อ่านหน้าที่สอง
โดย Cover Letter ที่ดีจะต้องตอบคำถามได้ทันทีว่าเราคือใคร มีความสนใจกับสิ่งไหน ทำไมเราถึงเหมาะกับงานนี้ อะไรทำให้อยากทำงานที่นี่และอย่าลืมที่จะแนบช่องทางการติดต่อทิ้งไว้ด้วย ซึ่งเราสามารถกำหนดโครงสร้างเนื้อหาตามตัวอย่างได้ดังนี้
ตัวอย่าง
จะเห็นได้ว่าตามตัวอย่างรายละเอียดของเนื้อหาที่ควรระบุจะมีตั้งแต่
- ช่องทางการติดต่อ
- กล่าวทักทาย
- ส่วนเปิด (ย่อหน้าที่ 1)
- ย่อหน้าที่ 2
- ส่วนปิด (ย่อหน้าสุดท้าย)
- แสดงความนับถือ
สรุปทิ้งท้าย
Cover Letter ที่ดีสามารถช่วยฉายแสงให้เราโดดเด่นมากขึ้น ในขณะเดียวกันหากเราไม่ตั้งใจใช้เวลาลงทุนทำให้เต็มที่จากประโยชน์ที่ควรจะได้รับก็ย้อนกลับมาดับตัวเราเองได้เช่นกัน และก่อนที่จะเขียนอะไรลงไปควรศึกษาข้อมูลให้เรียบร้อย อาทิ รายละเอียดงาน ทิศทางบริษัท รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ให้รอบด้าน เพราะจะทำให้เรารู้ว่า “ควรทำอะไร” ในทิศทางไหนต่อไป
อ่านบทความเพิ่มเติม:
คำแนะนำวิธีการใช้ Linkedin หางานโดย 100 ผู้เชี่ยวชาญด้าน Recruitment
S.T.A.R เทคนิคตอบคำถามสัมภาษณ์งานยากๆ ให้เป็นเรื่องง่าย
แปลและเรียบเรียงจาก: https://bit.ly/46oB7og
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม: https://indeedhi.re/43W4NY7