หางานเด็กจบใหม่ 6 สิ่งที่ทำแล้วช่วยให้มีโอกาสได้งานมากขึ้น
หลังจากเรียนจบใหม่ๆ จะเริ่มมองหาหรือใช้วิธีไหนเพื่อให้ได้งาน นี่คือประเด็นสำคัญก่อนเข้าสู่วัยทำงานที่ 4 ปีของมหาวิทยาลัยไม่เคยสอน ซึ่งความไม่เข้าใจในกระบวนการสมัครงานที่ทั้งซับซ้อนและละเอียดอ่อนก็นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่เด็กจบใหม่จำนวนมากเข้าไม่ถึงโอกาสในการทำงาน ในบทความนี้ Reeracoen Thailand ได้สรุปสิ่งที่เด็กจบใหม่สามารถเรียนรู้เพื่อเพิ่มโอกาสได้งานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร
ปัญหาหนึ่งของการหางานเด็กจบใหม่คือเรียนจบมาโดยที่ “ไม่รู้ว่าอยากทำอะไร” ทำให้จับต้นชนปลายไม่ได้เมื่อถึงเวลาต้องเข้าสู่โลกของการทำงาน โดยเราสามารถประเมินตัวเองหรือลองทำแบบทดสอบความถนัดเพื่อหาข้อสรุปว่า “เราเหมาะจะทำอะไร” และช่วยเป็นแนวทางตัดสินใจว่าควรเริ่มต้นนับหนึ่งในชีวิตวัยทำงานกับอาชีพอะไรในสายงานไหน
- กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน
หลังเรียนจบมาใหม่ๆ หลายคนอาจต้องเร่งหางานทำ โดยเพิ่มโอกาสหวังผลด้วยการสมัครงานหลายตำแหน่ง หลายบริษัทหรือที่เรียกกันว่า “หว่านใบสมัคร” แบบไม่มีเป้าหมายแน่ชัด ทำให้คุณสมบัติในเรซูเม่อาจจะตรงและไม่ตรงกับงานบ้าง ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดีเนื่องจากมีโอกาสที่เราจะไม่ถูกติดต่อกลับจนเป็นเหตุบั่นทอนความมั่นใจให้หมดไปตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงาน
ลองเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นตอบคำถามตัวเองให้แน่ใจว่าอยากทำงานอะไร ในบริษัทแบบไหนและมีทักษะหรืออะไรที่จำเป็นต้องใช้เพื่อ “คราฟต์เรซูเม่” ที่เหมาะสมสำหรับการส่งสมัครงาน
- ใช้ประโยชน์จาก Cover letter
ความท้าทายของการเป็นคนหางานเด็กจบใหม่ที่ต้องการมองหางานคือการ “แข่งขัน” กับบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นที่มีจำนวนหลายแสนคนในแต่ละปี (อ้างอิงข้อมูลจาก กรมจัดหางาน 2566) ซึ่งกลุ่มคนหน้าใหม่ไฟแรงเหล่านี้อาจไม่ได้มีข้อแตกต่างทางด้านคุณสมบัติ ความรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมายนัก ทำให้โจทย์สำคัญที่ต้องตีให้แตกคือ “ทำอย่างไรให้ตัวเองโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ”
แม้สิ่งที่เรียนมารวมถึงทักษะที่มีบนหน้าเรซูเม่จะคล้ายกันแต่สิ่งที่ทำให้แต่ละคนแตกต่างกันคือ เป้าหมาย ประสบการณ์ ความสนใจและแรงกระตุ้นหรือ “แพชชัน” ในการทำงานซึ่งเราสามารถนำเสนอสิ่งเหล่านั้นผ่าน Cover Letter หรือจดหมายสมัครงานที่เป็นการเรียบเรียงคุณสมบัติรวมถึงเป้าหมายในการทำงาน ทำให้บริษัทได้ข้อมูลใช้พิจารณาอย่างครบถ้วนมากกว่าจากเรซูเม่เพียงอย่างเดียว
- ผลสำรวจจาก Arcadia University พบว่า
72% ของนายจ้างคาดหวังจะได้รับ Cover Letter ในการสมัครงาน
77% เลือกให้ความสำคัญกับผู้สมัครที่มี Cover Letter มากกว่าคนที่ไม่มี
88% ของ Recruiter ระบุว่าหากเราทำเรซูเม่ได้ไม่ดีพอ Cover Letter ก็จะเป็นตัวช่วยให้เรามีโอกาสมากขึ้น
- นำเสนอ “คุณค่า” ที่โดดเด่นกว่าคนอื่น
ก่อนที่จะคาดหวังว่าบริษัทต้องรับเข้าทำงานเราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าถ้าเราได้เข้าไปทำงานแล้วบริษัทสามารถคาดหวังอะไรจากเราได้บ้าง เราจะใช้ความรู้ ทักษะประสบการณ์ส่วนไหนมาตอบสนองความคาดหวังหรือช่วยพัฒนาองค์กร ถือเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องหา “จุดเด่น” ที่น่าสนใจกว่าคนอื่นในการแข่งขันที่มีคนจำนวนมากต้องการงานในตำแหน่งเดียวกัน แล้วนำเสนอสิ่งเหล่านั้นในทุกขั้นตอนของการสมัครงาน อาทิ ทักษะการทำงาน ประสบการณ์ฝึกงาน ความสนใจตั้งแต่หน้าเรซูเม่ไปจนถึงระหว่างการสัมภาษณ์งาน
- เสริมจุดแข็งด้วย Certification
หนึ่งในวิธีเพิ่มความโดดเด่นให้ตัวเองเหนือกว่าคู่แข่งด้วย “ใบรับรอง” การฝึกอบรมทักษะสำคัญที่จำเป็นในสายงาน ซึ่งปัจจุบันมีคอร์สจากสถาบันต่างๆ มากมายที่เราสามารถเข้าไปเรียนรู้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายนอกจากจะทำให้เรซูเม่มีความน่าสนใจยังช่วยเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือด้วย
- ฝากโปรไฟล์กับบริษัทจัดหางาน
นอกจากเว็บประกาศงาน หรือโซเชียลมีเดีย อีกหนึ่งช่องทางสมัครงานที่มีประสิทธิภาพก็คือ “บริษัทจัดหางาน” ที่มี Recruiter มืออาชีพคอยจับคู่งานที่เหมาะสมและช่วยปรับปรุงเรซูเม่รวมถึงแนะนำเทคนิคการตอบคำถามยากๆ ระหว่างการสัมภาษณ์ เพียงใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีในการสร้างโปรไฟล์บนหน้าเว็บก็สามารถสร้างโอกาสได้งานที่มากขึ้น แถมยังได้งานที่เหมาะสมโดยที่ไม่ต้องเป็นฝ่ายวิ่งไล่ด้วยตัวเอง